Bethophen No.5
Amy's Lullaby
A change of season
A new kind of love
Speak softly love
ให้เวลากับบางคราของชีวิต......ที่รู้แต่เวลาเริ่มต้นแต่ไม่รู้ว่าสิ้นสุด มอบสิ่งดีดีให้กับทุกคนที่ร่วมชะตากรรมนี้เช่นเดียวกับเรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีที่สุดของคุณ
ชนิดของเครื่องดื่ม | ปริมาณ | Range* |
Coffee (150ml cup)ต้ม, drip method เครื่องต้มกาแฟ กาแฟสำเร็จ Decaffeinated Espresso (30ml cup) | 115 80 65 3 40 | 60-180 40-170 30-120 2-5 30-50 |
Teas (150ml cup)ชาที่ต้ม ชาเป็นซอง ชาเย็น (240ml glass) | 40 30 45 | 20-90 25-50 45-50 |
น้ำอัดลม (180ml) | 18 | 15-30 |
Cocoa beverage (150ml) | 4 | 2-20 |
นมรสChocolate (240ml) | 5 | 2-7 |
Chocolateนม (30g) | 6 | 1-15 |
Dark chocolate, semi-sweet (30g) | 20 | 5-35 |
Cooking chocolate (30g) | 26 | 26 |
ความดันโลหิตที่วัดได้ (mm Hg)* | |||
ความรุนแรงของความดันโลหิต | Systolic | Diastolic | จะต้องทำอะไร |
ความดันโลหิตที่ต้องการ | น้อยกว่า 120 | น้อยกว่า 80 | ให้ตรวจซ้ำใน 2 ปี |
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น Prehypertensionl | 130-139 | 85-89 | ตรวจซ้ำภายใน 1 ปี |
ความดันโลหิตสูง | |||
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 Stage 1 (mild) | 140-159 | 90-99 | ให้ตรวจวัดความดันอีกใน 2 เดือน |
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 Stage 2 (moderate) | >160 | >100 | ให้พบแพทย์ใน 1 เดือน |
เคล็ดลับในการรักษาความดันโลหิตสูง |
|
2. การเข้ารับบริการทันตกรรม
อยากทราบเหมือนกันค่ะ แล้วการรับบริการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ นั้น ให้บริการในลักษณะที่คล้ายกันหรือไม่
บาหวาน จัดเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เกิดจากความไม่สมดุลของปริมาณ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรท (อาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาล) ที่รับประทานเข้าไปในร่างกายกับปริมาณของฮอร์โมนอินซูลิน ในภาวะปกติ ฮอร์โมนอินซูลิน ถูกหลั่งออกมาจากต่อมไร้ท่อที่ตับอ่อน เมื่อมีน้ำตาลเพิ่มขึ้นในเลือด เพื่อทำให้ร่างกายใช้น้ำตาล ที่ได้มาจากอาหารให้เป็นพลังงานภายในเซลล์ เมื่อปริมาณของฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สมดุลกับอาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาล ที่รับประทานเข้าไป ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ไม่ได้ดี จึงเกิดโรคเบาหวานขึ้น ![]()
ปัจจุบันเราพบผู้ป่วยและรักษาโรคเบาหวานในระยะที่สี่ ซึ่งเป็นระยะเวลา ที่ผู้ป่วยมาหาแพทย์ โรคเบาหวานไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความผิดปกติ ของระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังทำให้ระบบประสาท และหลอดเลือดเสื่อมเร็วกว่าปกติ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ ไม่สามารถแก้ไขความเสื่อมของระบบประสาท และหลอดเลือดที่เสื่อมไปแล้วได้ นักวิทยาศาสตร์หลายท่าน จึงตั้งสมมติฐานว่า ถ้ามีการรักษาโรคเบาหวาน ตั้งแต่แรกเริ่มที่ยังไม่มีอาการ อาจจะป้องกันการเสื่อม ของระบบประสาทและหลอดเลือดได้ ถ้าในอนาคตมีวิธีการรักษาดังกล่าว และป้องกันความเสื่อมได้จริง เราอาจจะมีวิธีการรักษาหรือควบคุมโรคเบาหวาน ตั้งแต่ผู้นั้นเป็นทารกในครรภ์มารดาเลยก็ได้ หากทำได้จะเป็นการป้องกัน ผู้นั้นไม่ ให้มีโอกาสแสดงอาการของโรคเบาหวาน หรือยืดเวลาที่ไม่แสดงโรคเบาหวานออกไป (ระยะที่สองและสาม) หรือลดความรุนแรงของโรคเบาหวาน ถ้าโรคจะต้องเกิดขึ้นในอนาคต ในส่วนที่ประชาชนทั่วไปทำได้เองในขณะนี้คือ การออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในสมดุล ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่อยู่ในระยะที่สอง จนถึงระยะที่สี่และระยะที่ห้าของชีวิต ให้ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ในท้ายบทความเกี่ยวกับ การออกกำลังกายและน้ำหนักที่อยู่ในสมดุล โรคเบาหวานพบได้ในประชากรไทยตั้งแต่ร้อยละ ๓ ถึง ๑๐ แล้วแต่พื้นที่และภาวะโภชนาการ โรคนี้พบได้ทั้งสองเพศ มักพบในวัยกลางคน แต่สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้เข้าสู่วัยทอง ใน อดีต ที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา โรคเบาหวานจะพบได้ ประมาณร้อยละ ๑-๔ เท่านั้น โรค เบาหวานมี ๒ ประเภท
![]() ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เรื้อรังและเกิดขึ้นช้าๆ ได้แก่ ความผิดปกติใน การทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะการรับรู้ความรู้สึก และหลอดเลือดแดง ผู้ป่วยเบาหวานจะมีเท้าชา รับรู้ความรู้สึกเจ็บและการสัมผัสลดลง โดยเฉพาะที่ปลายมือปลายเท้า ส่วนผิวในของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก จะเสื่อมเร็วขึ้น ทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กตีบหรือตันง่ายขึ้น ระบบการแข็งตัวของเลือดจะทำให้เลือดแข็งตัวง่ายขึ้นด้วย ปัจจัยทั้งสอง จะส่งเสริมให้หลอดเลือดแดงตีบหรือตันง่ายขึ้น เลือดจึงไปเลี้ยงที่อวัยวะต่างๆ ลดลง และบางครั้งมีการอุดตันของหลอดเลือดแบบฉับพลันได้ จึงเกิดโรคที่เป็นจากผลจากอวัยวะขาดเลือดฉับพลันซึ่งได้แก่เนื้อตายในอวัยวะนั้น ถ้าเกิดที่หลอดเลือดแดงที่ไปหล่อเลี้ยง สมอง หัวใจ ไต ผลร้ายก็คือ ทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคอัมพาตของแขนขา หรืออัมพาตครึ่งซีกหรือหมดสติ หรือเกิดอาการแน่นหน้าอกจากกล้ามเนื้อหัวใจวายฉับพลัน ไตพิการเรื้อรัง เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะค่อยๆ เกิดขึ้นและมีผลให้เกิดผลร้ายซ้ำเติมตามมาอีก ที่สำคัญคือ แผลเบาหวาน และติดเชื้อ ต้อกระจก และอวัยวะปลายทางขาดเลือด เป็นต้นแผลเบาหวาน เป็นภาวะซ้ำเติมที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่แพทย์ พยาบาลและผู้ป่วย แต่การดูแลรักษาแผลเบาหวานมักจะไม่ถูกต้อง ตั้งแต่แรกหรือให้การรักษาช้าเกินไป ผลร้ายที่ตามมาคือ ต้องตัดนิ้วหรือตัดเท้าหรือตัดขาส่วนล่างระดับหน้าแข้งลงไป หรือตัดขาทิ้งตั้งแต่ขาท่อนบนลงมา ผลร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในยุคปัจจุบัน เพราะเรามียาและวิธีรักษาที่ดีมาก ที่จะรักษาโรคให้หายขาดตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูเท้าตนเองทุกวันว่า มีแผลเกิดขึ้นหรือไม่ ดูให้เห็นชัดๆ ว่า ไม่มีแผลเพราะผู้ป่วยอาจจะมีต้อกระจกรวมอยู่ด้วย ทำให้เห็นไม่ชัด ถ้ารอให้เกิดความรู้สึกเจ็บที่แผล หรือมีไข้ก่อนแล้วค่อยไปหาแพทย์ ก็จะช้าไป ถ้ามีแผลเกิดขึ้นจากการมองเห็นด้วยสายตา ต้องหมั่นทำแผลให้สะอาด และให้แพทย์มาร่วมดูแลแผลด้วยตั้งแต่ต้น ผู้ป่วยหลายรายเชื่อ เรื่องการพอกแผลด้วยสมุนไพรที่บอกต่อๆ กันมา ขอแนะนำให้พบแพทย์ก่อนด้วย ไม่ควรใช้สมุนไพรรักษาตามลำพัง โดยไม่มีใครช่วยติดตามและประเมินผล โดยส่วนตัวไม่แนะนำให้ใช้สมุนไพรรักษาแผลเบาหวาน เพราะเห็นมาหลายรายแล้วว่า ไม่ได้ผล ทำให้พลาดโอกาสที่จะหายจากโรคโดยเร็ว บางครั้งเห็นมีแผลขนาดเล็กที่เท้าแต่มีไข้ขึ้น แสดงว่า แผลได้เซาะลึกเข้าใต้ชั้นผิวหนัง และลามแผ่ออกไปใต้ชั้นผิวหนังแล้ว การรักษาแผลเบาหวาน ต้องใช้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม โดยเฉพาะแผลที่มีกลิ่นเหม็นเน่า แผลเหล่านี้จะลุกลามได้ง่าย เพราะเลือดมาเลี้ยงน้อย ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ต่อสู้กับเชื้อโรค ตรงบริเวณที่มีแผลไม่ไหว จึงขอแนะนำให้ดูแลแผลเบาหวาน โดยให้แพทย์ร่วมดูแลรักษาตั้งแต่ต้น การป้องกันการเกิดแผลที่เท้า จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หมั่นสวมรองเท้าหัวปิดที่ไม่คับ ให้เลือกรองเท้าที่นุ่มและสวมใส่สบาย เวลาอาบน้ำควรนวดถูเท้าเบาๆ ให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หรือแช่เท้าในน้ำอุ่นเล็กน้อย ต้องระวังอย่าใช้น้ำร้อนจัด เพราะผู้ป่วยอาจจะรู้สึกร้อนเพียงเล็กน้อยที่เท้า แต่เท้าบวมพองไปแล้ว พอนวดเท้าและทำความสะอาดเท้าเสร็จ ให้ซับน้ำที่เท้าให้แห้ง เนื่องจากการติดเชื้อที่แผลเบาหวาน เป็นเชื้อโรคที่มากับอุจจาระ จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า แผลเบาหวานได้รับเชื้อดังกล่าว จากน้ำในห้องน้ำหรือห้องส้วมที่ปนเปื้อนอุจจาระ ส้วมหรือห้องน้ำของผู้ป่วยเบาหวาน จึงต้องแห้งและสะอาด ถ้ามีแผลและต้องเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ ต้องห่อเท้าด้วยถุงพลาสติกให้มิดชิด ขณะอาบน้ำหรือเข้าห้องน้ำ และถอดถุงพลาสติกออกทันทีที่ออกจากห้องน้ำ ยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานมีทั้งยากินและยาฉีด ยากินจะใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วย ที่เป็นเบาหวานประเภทที่หนึ่ง เพราะ ไม่มีต่อมหรือมีต่อมไม่เพียงพอ ที่จะผลิตอินซูลินและ ยากินต้องอาศัยการออกฤทธิ์กระตุ้นต่อม ให้สร้างอินซูลินเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่หนึ่ง จึงต้องฉีดยาอินซูลินชดเชยตลอดชีพ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่สองใช้ยากินได้ ถ้าโรคไม่รุนแรงจนเกินไป ถ้าโรครุนแรงจนถึงระดับหนึ่ง การใช้ยากินอย่างเดียวจะไม่ได้ผลเช่นกัน จึงต้องใช้ยาฉีดร่วมด้วยในกรณีนี้ โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องลดการกินอาหารประเภทแป้ง และน้ำตาลหรือถึงกับพยายามหลีกเลี่ยง ถ้ายังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ การรักษาต้องติดตามการตรวจระดับน้ำตาลเป็นระยะๆ ว่า การรักษาได้ผลหรือไม่ หรือได้ผลน้อยไปหรือมากไป? แต่ในช่วงแรกที่ผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลงมาก ยังไม่ต้องควบคุมอาหารมากนัก ก็ได้ปล่อยให้ผู้ป่วยกินอาหาร และได้ยาจนน้ำหนักตัวอยู่ ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก่อน แล้วค่อยจำกัดอาหารต่อไป การควบคุมอาหารจึงต้องควบคุมให้อยู่ในสมดุล ![]() การรักษาและการออกกำลังกายที่ได้สมดุล จะทำให้ผู้นั้นมีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย ของคนปกติทั่วไปตามค่าดัชนีมวลกาย ทำให้ ผู้ป่วยรู้สึกแข็งแรงดีกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม นำหนักตัวที่เหมาะสม สามารถทราบได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้อยู่แก่ใจ ถ้าต้องการข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์ที่เป็นตัวเลข เราสามารถคำนวณได้ โดยเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตร ที่ยกกำลังสองแล้วสูตรคำนวณคือ น้ำหนัก(กิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงยกกำลังสอง (เมตร) เช่น หนัก ๗๐ กิโลกรัมและสูง ๑.๘๐ เมตร จะได้ดัชนีมวลกายเท่ากับ ๗๐ หารด้วย (๑.๘๐) ๒ ได้เท่ากับ ๗๐ หารด้วย ๓.๒๔ เท่ากับ ๒๑.๖ จำง่ายๆ ว่า ค่าปกติอยู่ระหว่าง ๒๐-๒๕ ถ้า อยู่ระหว่าง ๒๖-๓๐ ให้เริ่มระวังว่า น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอีก ต้องเริ่มควบคุมน้ำหนัก ถ้าได้ค่าเกิน ๓๐ ต้องหามาตรการควบคุมน้ำหนักให้ได้ การกินแต่อาหารกลุ่ม fast food ประจำ การนั่งเล่นเกมอยู่หน้าโทรทัศน์เป็นประจำ ล้วนแต่เป็นการบ่อนทำลายสุขภาพของตนเอง การควบคุมน้ำหนัก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี และการออกกำลังกาย ถือว่า เป็นเรื่องที่เราทุกคนสามารถทำได้ในทุกระยะของชีวิตคน เป็นเบาหวานตั้งแต่เกิดมา และสามารถทำได้ในประชากรทั่วไป ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่เคยป่วยเป็นโรคใดก็ตาม การปฏิบัติตนในด้านอื่นๆ ของผู้ที่เป็นเบาหวานอีกข้อคือ ผู้ป่วยต้องกินยาต้านเบาหวานหรือฉีดยาให้สม่ำเสมอ ส่วนการกินยาสมุนไพรต่างๆ น่าจะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นได้ ถ้ามีผู้นั้นมีความเชื่อในสรรพคุณของสมุนไพร เพียงแต่ ผู้เขียนสามารถรับรองได้ว่า การกินแต่ยาแผนปัจจุบันอย่างเดียว ก็สามารถคุมโรคเบาหวานได้แน่นอนอยู่แล้ว ผู้ที่กินสมุนไพรร่วมด้วยโดยที่เชื่อว่า สมุนไพรดังกล่าวไม่มีพิษหรือผลร้ายใดๆ เลยนั้น ผู้กินก็ต้องประเมินผลการกินสมุนไพร เหมือนกับการกินยาแผนปัจจุบันด้วยเหมือนกัน ผู้ที่เป็นเบาหวานต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นหรือทำให้การรักษาเบาหวานยากขึ้น เช่น ต้องงดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุราจนเมามาย หรือดื่มเป็นประจำที่มากเกินไป อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และถ่ายเท หลีกเลี่ยงการสัมผัสโรคติดเชื้อบางอย่าง เช่น วัณโรค ไม่เกาตามผิวหนังอย่างรุนแรงเมื่อรู้สึกคัน โดยเฉพาะตามรักแร้หรือในที่อับชื้น ไม่ขยี้หนังตารุนแรงเมื่อรู้สึกคันตา ต้องล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งสกปรก หรือเมื่อจะแตะต้องผิวหนังของตนเอง โดยเฉพาะในบริเวณที่อับชื้น ต้องล้างมือตนเองให้สะอาด เมื่อจะทำแผลของตนเอง เป็นต้น ขณะที่รักษาโรคเบาหวาน หากมีอาการอื่นๆ เกิดขึ้นโดยที่ไม่เคยมีมาก่อน ต้องรีบหาสาเหตุและให้การแก้ไข เช่น ถ้ามีอาการ เหงื่อแตก หมดแรงจะเป็นลม โดยไม่มีอาการแน่นหน้าอก หรือถ่ายอุจจาระดำ มักเกิดจาก น้ำตาลต่ำในเลือด ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจึงต้องมีเม็ดลูกกวาด หรือก้อนน้ำตาลเตรียมไว้อม เพื่อแก้ไขอาการดังกล่าว การอมลูกกวาดหรือก้อนน้ำตาล หรือดื่มน้ำหวานแล้วฟื้นคืนสติภายในเวลา ๕ นาที จะ ยืนยันว่า อาการดังกล่าว มีสาเหตุจากน้ำตาลในเลือดต่ำจริง หากเกิดภาวะนี้ ต้องหาสาเหตุและแก้ไขอีกเช่นกัน ถ้ามีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้นตามลำดับ ต้องระวังว่า เกิดจากการรักษาเบาหวานที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ได้รักษาอย่างสม่ำเสมอ ต้องไปพบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไขอีกเช่นกันโดยสรุป โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบบ่อย การรักษาไม่ยุ่งยาก และผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้ แต่ผู้ป่วยต้องเข้าใจโรคและร่วมมือกับแพทย์ในการรักษาอย่างต่อเนื่อง การมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การควบคุมน้ำหนักโดยการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง เป็นการส่งเสริมสุขภาพของผู้นั้น และทำให้เจ็บป่วยจากโรคอื่นน้อยลง การรักษาจึงจะได้ผลดี และส่งผลให้ร่างกายคงอยู่ในสภาพที่แข็งแรง และใช้งานได้นานเท่าคนปกติได้ | |||||||||||||||
แหล่งข้อมูล : ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล | |||||||||||||||